top of page
ค้นหา

Fatehpur Sikri ฟเตหปุระสีกรี เมืองมรดกโลก Unesco | อินเดีย

รูปภาพนักเขียน: tiewjourneytiewjourney


Fatehpur Sikri (ฟเตหปุระสีกรี) เมืองผีสิง ที่มีสถาปัตยกรรมโมกุลสภาพสมบูรณ์ที่สุดในอินเดีย ตั้งอยู่บนเขาในเขตอัครา รัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย

Content นี้มีอะไรบ้าง


 




Introduction : Fatehpur Sikri (ฟเตหปุระสีกรี)


Fatehpur Sikri (ฟเตหปุระสีกรี) ตั้งอยู่บนเขาในเขตอัครา รัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ใช้เวลาสร้างนานถึง 15 ปี ภายในประกอบด้วยพระราชวัง ฮาเร็ม ศาล มัสยิด สระน้ำ สวน อาคารต่างๆ แต่หลังจากสร้างเสร็จไม่นานก็ถูกทิ้งร้าง จึงได้รับการขนานนามว่าเมืองผีสิง (Phantom City) เนื่องจากใช้งานเพียงไม่กี่ปี ทำให้ที่นี่ยังมีความสมบูรณ์อยู่มาก และถือว่ารักษาความงามของสถาปัตยกรรมโมกุลไว้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดในอินเดีย และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ Unesco ในปี 1986


ประวัติ


Fatehpur Sikri (ฟเตหปุระสีกรี) เดิมมีชื่อภาษาอาหรับว่า "Fatehabad (ฟะเตฮาบาด)" คำว่า ฟัตห์ แปลว่า ชัยชนะ เมืองนี้สร้างขึ้นในปี 1569 โดยจักรพรรดิอัคบาร์ หลังจากทำสงครามรบชนะชาวเมืองจิตเตารครห์ (Chitaurgarh) และรณถัมโภระ (Ramthambore) ตามคำแนะนำของ "ซาลิม คิชติ" (Salim Chishti) นักบวชที่มีความสำคัญกับพระเจ้าอักบาร์ ที่นี่เป็นทั้งป้อมปราการ และพระราชวัง ภายนอกมีกำแพงล้อมรอบด้าน เป็นเมืองแรกที่ได้รับการวางผังเมืองของชาวโมกุล


แต่หลังจากสร้างเสร็จไม่นาน ก็มีการย้ายเมืองหลวงไปที่ลาฮอร์แทน เนื่องจากปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำ ความแห้งแล้ง แม้จะพยายามสร้างบ่อเก็บน้ำก็ไม่สามารถทดแทนการใช้น้ำได้เพียงพอ ประกอบกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จากทำเลที่ตั้งของเมืองที่อยู่ใกล้กับเขตของอาณาจักรราชปุต ทำให้เมืองที่สร้างมาอย่างยาวนานถึง 15 ปี ถูกใช้งานในระยะเวลาอันสั้น สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ยังคงอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เพราะแทบไม่มีคนใช้งาน จนถูกขนานนามว่า เมืองผีสิง แต่นั่นก็ทำให้ที่แห่งนี้ได้รับความนิยม และขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมโมกุลที่สุด





สถาปัตยกรรม


จักรพรรดิอัคบาร์ ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบและก่อสร้าง โดยตั้งใจใช้สถาปัตยกรรมของเปอร์เซียโบราณ ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมของอินเดีย โดยการก่อสร้างหลักจะใช้หินทรายแดง ที่สามารถหาได้บริเวณโดยรอบเมือง จึงเรียกกันว่า หินทรายสีกรี ตำหนักภายในวางผังรูปแบบวางเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบ และสมมาตรบนฐานเดียวกัน ตามลักษณะการก่อสร้างแบบอาหรับ และเอเชียกลาง


อาคารภายในถูกล้อมด้วยกำแพงเมืองยาว 6 กิโลเมตร คลอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ส่วนอีกด้านเป็นทะเลสาบธรรมชาติ สถาปนิกหลักคือตูฮีร์ ดาส (Tuhir Das) ซึ่งออกแบบสไตล์อินเดีย ผสมศิลปะเบงกอลและคุชราต ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมของฮินดู เชน และอิสลาม ตัวกำแพงมีประตูหลักถึง 9 ประตูด้วยกัน คือประตูเดลี ประตูลาล ประตูอัคระ ประตูบีร์บาล ประตูชันดันปาล ประตูกวาลิออร์ ประตูเทห์รา ประตูคอร์ และประตูอัชเมียร์



แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งมีทางเข้าแยกกันคือ


ฟาเตห์ปูร์ ส่วนศาสนสถาน


แนะนำให้ขึ้นไปเยี่ยมชมในส่วนของฟาเตห์ปูร์ก่อน ส่วนนี้จะไม่มีค่าเข้า แต่จะต้องถอดรองเท้าเพราะข้างในถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับนักท่องเที่ยว จะมีคนรับฝากรองเท้าอยู่ด้านหน้า คิดค่าฝาก 100 รูปี แต่เห็นคนอินเดียบางคน ถอดรองเท้าแล้วหิ้วเข้าไปได้ แต่สำหรับนักท่องเที่ยว เขายืนยันว่าต้องฝากรองเท้าเท่านั้น ห้ามหิ้วเข้าไป อ่ะ ไม่เป็นไร ฝากรองเท้าไว้ได้ แต่ตอนเดินเข้าไปจะต้องระวังหน่อย เพราะภายในจะมีเศษอาหาร ขยะ บางคนถ่มน้ำลาย เสมหะ ลงบนพื้น ต้องคอยดูให้ดี และต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ถ้าใส่กางเกงขาสั้นมาจะต้องใส่ผ้าถุง ตรงที่รับฝากรองเท้ามีให้ยืม


ในส่วนนี้เริ่มจากประตูทางเข้าที่ยิ่งใหญ่ Buland Darwaza ผ่านประตูไปจะพบกับมัสยิดจามา (Jama Masjid) และสุสานของ ชาย์ค ซาลิม คิชติ (Shayk Salim Chishti)


Buland Darwaza


ประตูทางเข้า ที่มีความสูงที่สุดในโลก สูงถึง 54 เมตร ตั้งอยู่กำแพงทางทิศใต้ของมัสยิด เป็นประตูชัยที่สร้างขึ้นเพื่อชัยชนะของจักรพรรดิอักบาร์ต่ออาณาจักรคุชราด ตัวประตูจะประกอบด้วยช่องโค้ง 3 ช่อง โดยช่องกลางจะมีขนาดใหญ่ที่สุด เรียกว่า ประตูเกือกม้า ตามความเชื่อที่มักจะตอกเกือกม้าลงบนประตูใหญ่ที่สุด เพื่อถือเป็นการนำโชค


Jama Masjid


มัสยิดจามา (Jama Masjid) เป็นสิ่งก่อสร้างแรก ที่เริ่มสร้างใน Fatehpur Sikri (ฟเตหปุระสีกรี) ก่อนที่จะสร้างประตูทางเข้า Buland Darwaza โดยสร้างด้วยหินทรายแดง ประดับด้วยการฝังหินอ่อนสีขาวเป็นลวดลายตามสถาปัตยกรรมมัสยิดแบบอินเดีย



Salim Chishti's Tomb


สุสานของนักบุญชาย์ค ซาลิม คิชติ (Shayk Salim Chishti) ตั้งอยู่บนลานกว้างภายใน ฟาเตห์ปูร์ สร้างขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อ ซาลิม คิชติ ที่ทำนายการเกิดของลูกชายจักรพรรดิอักบาร์ ตัวสุสานสร้างบนพื้นยกสูง 1 เมตร มีบันไดตรงระเบียงทางเข้า ตัวอาคารสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวครอบสุสานไว้ ภายในอาคารตรงกลางจะเป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพ



 



สีกรี ส่วนพระราชวัง


ต่อจากเยี่ยมชมฟาเตห์ปูร์ แนะนำให้เดินออกมาทาง King's Gate สรุปคือเรากลับไปเอารองเท้าจากจุดหน้าประตูทางเข้า แล้วหิ้วเข้ามาเพื่อไปออกอีกประตูนึงอยู่ดี 555 เดินไปตามทาง เรามาต่อกันในส่วนพระราชวังกัน ส่วนนี้จะมีค่าเข้า xx รูปี (ประมาณ xx บาท) ภายในพระราชวังประกอบด้วยหลายส่วน ขอพูดถึงส่วนสำคัญๆ แยกเป็น



Diwan-i-Khas


ท้องพระโรงสำหรับกษัตริย์ออกว่าราชการ ออกพบกับแขกต่างศาสนา พบแขกสำคัญส่วนพระองค์ ว่ากันว่าจักรพรรดิอักบาร์นั้นเปิดกว้าง และส่งเสริมผู้ที่นับถือต่างศาสนา ทั้งยังส่งเสริม และไม่ปิดกั้นอีกด้วย Diwan-i-Khas มีลักษณะอาคารทรงสี่เปลี่ยม มียอดฉัตรีทั้งสี่มุมของอาคาร ภายในมี Central Pillar เสาแปดเหลี่ยมกลางห้องที่โดดเด่นด้วยงานศิลปะการแกะสลักสวยงาม บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส


Anup Talao


สระน้ำหน้าที่พักส่วนตัวของจักรพรรดิอักบาร์ สวยงามไม่เหมือนใครด้วยโครงสร้างหินทรายแดง มีแท่นกลางน้ำสำหรับการแสดง ร้องเพลง ตามบันทึกเล่าว่าแต่ก่อนภายในสระน้ำนี้เต็มไปด้วยทองคำ เหรียญทองแดง และเงิน ส่องแสงระยิบระยับสวยงาม ต่อมาได้มีการแจกจ่ายเหรียญเหล่านี้เพื่อการกุศล


Khwabgah complex


Khwabgah Complex เรียกอีกอย่างว่า Dream Palace เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานส่วนพระองค์ ประกอบด้วยห้องจัดประชุม ห้องสมุด ห้องนอน ห้องน้ำ และพบร่องรอยของภาพเขียน ซึ่งแทบจะเลือนลางหายไปจนหมด


Panch Mahal


พานซ์ มาฮาล ตำหนักสูง 5 ชั้น โดยมีการสร้างหลังคาลดหลั่นกันขึ้นไปทีละชั้น เล็กลงเรื่อยๆ จนถึงชั้นบนสุด สันนิษฐานว่าตำหนักนี้เป็นที่ประทับของพระสนม และนางใน บริเวณพื้นรองรับด้วยเสาหินแกะสลักโดยรอบจำนวน 176 ต้น


ค่าเข้า + วันเวลาทำการ


  • ฟาเตห์ปูร์ ส่วนศาสนสถาน ไม่เสียค่าเข้า / สีกรี ส่วนพระราชวัง ค่าเข้า คนไทย (BIMSTEC) 40 รูปี

  • เปิดวันเสาร์ - วันพฤหัสบดี เวลา 06:00-18:00 น.(พระอาทิตย์ขึ้น จนถึงพระอาทิตย์ตก) ปิดทุกวันศุกร์



คำแนะนำ


การมาเที่ยวอินเดีย หลีกหนีไม่พ้นการถูกคนเข้ามาเสนอขายของ เสนอตัวเป็นไกด์ หรืออาจจะมีคนเข้ามาคุย แนะนำสิ่งต่างๆ ข้อควรระวังคือพยายามคุยให้น้อย หากไม่ต้องการให้รีบปฏิเสธ อาจจะโดนตื้อบ้าง หรือออกตัวบอกก่อนว่าไม่ใช่มิจฉาชีพ หรืออาจจะแสดงบัตรไกด์ให้ดู ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัว ถ้าเรายืนยันที่จะไม่ซื้อ แม้เขาจะเดินตามสร้างความรำคาญบ้าง แต่เดี๋ยวก็จะไปเอง


เรื่องเล่าระหว่างทางเข้ามาที่ Fatehpur Sikri (ฟเตหปุระสีกรี) เรานั่งรถริกชอร์เข้ามาจากถนนใหญ่ ไกด์ไม่ยอมขับรถเข้าไปส่ง ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไม บอกแค่ว่าจะรอที่ถนนใหญ่ แล้วเรียกรถริกชอร์เข้าไปส่งเรา พร้อมตกลงราคาเสร็จสรรพ ยังกำชับอีกว่า ขากลับให้เรียกรถที่ราคา 50 รูปีเท่านั้นนะ


หลังจากนั่งรถริกชอร์เข้าไปได้ไม่ทันไร เราเจอมอไซค์ขับรถมาปาดหน้าเพื่อให้รถเราจอด พร้อมกับมาบอกเราว่า ถ้าจะเข้าไปเที่ยวที่ Fatehpur Sikri (ฟเตหปุระสีกรี) จะต้องจ้างไกด์นะ เขาคิดราคาเท่านี้ๆ พอเราบอกว่าไม่เอา เขาก็ยืนยันว่าคุณจะเข้าไปเที่ยวโดยไม่มีไกด์ไม่ได้ เจรจาอยู่สักพัก ก็มีคนมาเพิ่มมาหว่านล้อมต่างๆ นานา ลดราคาให้อย่างนั้น อย่างนี้ ปฏิเสธยังไงก็ไม่ยอมปล่อยให้รถเราผ่าน จนต้องโทรศัพท์หาคนขับรถของเรา เล่าให้เขาฟังเท่านั้นแหล่ะ พอเปิด Speaker ให้คนพวกนี้คุย ยังไม่ทันถึง 10 วินาที ทุกคนแยกย้าย งงมาก ไม่รู้เขาพูดว่าอะไรกัน แต่ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่จำไม่ลืม


ดังนั้นถ้าใครจะไปเที่ยวที่นี่อาจจะต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ตั้งแต่ไปเที่ยวมา ยังไม่เคยเจออะไรตื่นเต้นเท่านี้เลย Fatehpur Sikri (ฟเตหปุระสีกรี) เป็นอีกหนึ่งเมืองมรดกโลกที่เราตั้งใจไปเยี่ยมชมมากๆ ทุกอย่างมีประวัติศาสตร์น่าสนใจ ยกเว้นเรื่องนี้นี่แหล่ะ ที่แอบทำให้เฟลนิดๆ






 

ชอบคอนเท้นแบบนี้ ฝากติดตามผลงานของเราช่องทางอื่นๆ ด้วยนะคะ 🥰

Comments


bottom of page